เตรียมความพร้อมของภาษาเพื่อก้าวเข้าสู่ AEC

เตรียมความพร้อมของภาษาเพื่อก้าวเข้าสู่ AEC
การเข้าสู่ AEC ดังนั้นการเตรียมความพร้อมในเรื่องของภาษาเพื่อใช้ในการสื่อสารในสภาพการณ์ที่มีการแข่งขันสูงขึ้นและสภาพสังคมที่มีวัฒนธรรมต่างๆ หลากหลายเข้ามาเกี่ยวข้องมากขึ้น จึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้และควรจะต้องเตรียมความพร้อมให้ดี เมื่อประเทศอาเซียนเข้าสู่ AEC ไม่ว่าคนของแต่ละประเทศจะใช้ภาษาอะไรเป็นภาษาราชการ และภาษาประจำชาติอยู่ในขณะนี้ เมื่อต้องติดต่อสื่อสารกับคนอื่นที่ต่างภาษา ต่างวัฒนธรรมนั้น ทุกคนจำเป็นต้องใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก ทุกคนต้องเรียนรู้และใช้ภาษาอังกฤษให้ได้ทั้งสิ้น โดยเฉพาะ เจ้าหน้าที่รัฐ ข้าราชการ และพนักงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในแต่ละประเทศสมาชิกอาเซียน จะต้องมีความสามารถใช้ภาษาอังกฤษได้ และใช้ได้ดีด้วย

หากจะให้ลำดับความสำคัญของภาษาที่จำเป็นสำหรับชาวอาเซียนแล้วละก็ ภาษาอังกฤษถือเป็นภาษาบังคับอันดับแรกที่ประชาชนพลเมืองใน10 ประเทศอาเซียนจะต้องฝึกฝน พัฒนาขีดความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษเพราะจะต้องใช้ภาษาอังกฤษกันมากขึ้นแน่นอน เนื่องจากประชาชนของประเทศอาเซียนจะต้องไปมาหาสู่ ทำความรู้จัก เรียนรู้ซึ่งกันละกัน เดินทางท่องเที่ยว เดินทางข้ามพรมแดนเพื่อหางานทำและแสวงหาโอกาสที่ดีกว่าให้กับชีวิต ดังนั้น ภาษาอังกฤษจึงเป็นภาษาที่สองของชาวอาเซียน เคียงคู่ภาษาที่หนึ่งอันเป็นภาษาประจำชาติของตน ภาษาที่มีความสำคัญรองลงไป คงหนีไม่พ้น ภาษาจีน จะเห็นได้ว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนนั้น เป็นสาเหตุที่ทำให้ภาษาจีนเป็นภาษาที่มีความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นภาษาที่มีคนพูดมากที่สุดในโลก แซงหน้าภาษาอังกฤษไปแล้ว

ภาษาอาเซียนนั้น เห็นว่าควรจะให้ความสำคัญกับการพัฒนาภาษาอังกฤษ ก่อนเนื่องจากการใช้ภาษาอาเซียนยังคงมีอยู่แค่ในวงแคบๆเฉพาะแค่คนบางกลุ่มเท่านั้น เช่น มัคคุเทศก์ และผู้ประกอบการธุรกิจนำเที่ยวที่อยู่ในแถบชายแดน ที่ติดต่อกับประเทศนั้นๆ เพื่อจะรองรับการเดินทางข้ามประเทศตามชายแดนของนักท่องเที่ยวที่จะมีจำนวนมากขึ้นเมื่อเปิดเสรีอาเซียนแล้ว การเพิ่มศักยภาพในการผลิตบุคลากรให้มีความสามารถในการใช้ภาษาอาเซียน และภาษาอื่นที่ขาดแคลนเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่แรงงานไทย เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี เพราะจะเป็นการช่วยเพิ่มโอกาสให้แรงงานไทยสามารถออกไปแข่งขันในเวทีอาเซียนได้

ข้อดีของการเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน

ข้อดีของการเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน
“โครงการนักเรียนแลกเปลี่ยน” เป็นโครงการศึกษาที่ได้รับการสนับสนุนและความร่วมมือจากหลายประเทศทั่วโลก เพื่อเปิดโอกาสให้นักเรียนในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ได้มีประสบการณ์ใหม่ๆ เรียนรู้วัฒนธรรมที่แตกต่าง ได้ฝึกภาษา และยังได้ท่องโลกกว้าง พบเจอกับเพื่อนใหม่ๆ ช่วงระยะเวลา 1 ปีการศึกษา สำหรับการใช้ชีวิการเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนสร้างทั้งประสบการณ์และความทรงจำที่ดี เป็นช่วงหนึ่งของชีวิตที่น่าจดจำ

ข้อดีของการเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน

1.พัฒนาตัวเอง โครงการนักเรียนแลกเปลี่ยนทำให้ได้เรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ๆ การใช้ชีวิตนักเรียนในต่างแดน แม้จะเป็นการเดินทางในช่วงที่อายุยังน้อย ในช่วงแรกอาจเป็นเรื่องยากลำบาก แต่ประสบการณ์เหล่านี้จะช่วยพัฒนาศักยภาพด้านต่างๆ ได้เป็นอย่างดี

2.พบกับครอบครัวที่ 2 อีกหนึ่งหัวใจสำคัญของนักเรียนแลกเปลี่ยนคือการได้พบกับครอบครัวใหม่ที่เราจะไปใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันในระยะเวลากว่า 1ปีเกิดการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมซึ่งกัน และกันนักเรียนแลกเปลี่ยนก็เปรียบเสมือนเป็นตัวแทนของประเทศไทยที่ไปช่วยเผยแพร่วัฒนธรรมของคนไทยให้ชาวต่างชาติได้รู้ แม้จะเป็นสิ่งเล็กๆ น้อยๆ แต่สิ่งเหล่านี้จะกลายเป็นความสัมพันธ์และความทรงจำที่ดีตลอดไป

3.พบเพื่อนใหม่จากทั่วทุกมุมโลก นอกจากเพื่อนที่โรงเรียนที่นักเรียนแลกเปลี่ยนไปแล้ว โครงการยังได้มีการจัดมีทติ้งระหว่างนักเรียนแลกเปลี่ยนจากประเทศต่างๆ อีกด้วย

4.เรียนรู้ภาษาใหม่ๆ แน่นอนว่าสิ่งสำคัญในการเลือกไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนส่วนหนึ่งคือเรื่องภาษา เราสามารถเรียนรู้ภาษาใหม่ๆ ได้จากประเทศที่เราเลือกเข้าร่วมโครงการ ฝึกภาษาในชีวิตประจำวันจากโฮสแฟมิลี่ และเพื่อนในห้องเรียน เป็นวิธีการเรียนรู้ภาษาที่ดีที่สุดนั่นเอง

5.ประสบการณ์จากวัฒนธรรมอื่น นักเรียนแลกเปลี่ยนมีโอกาสที่จะได้เรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมใหม่ๆ จากโฮสแฟมิลี่ ความเป็นอยู่และการใช้ชีวิต จากการได้ไปสัมผัสและอยู่ร่วมกับครอบครัวพื้นเมืองจริงๆ

การเข้าร่วมโครงการนักเรียนแลกเปลี่ยนจะช่วยให้นักเรียนได้เรียนรู้ในการปรับตัวให้สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข ซึ่งการอาศัยอยู่ในต่างประเทศนั้นมีความแตกต่างทั้งทางด้านสังคมและวัฒนธรรม ดังนั้นนักเรียนจะได้ประสบการณ์ตรงและโอกาสที่ดีในการพัฒนาภาษาและทักษะการสื่อสารในเวลาเดียวกัน อีกทั้งการเผยแพร่วัฒนธรรมไทยไปสู่ประเทศต่างๆ ทั่วโลกอีกด้วย

การวัดและประเมินผลเป็นเงื่อนไขสำคัญของการสำเร็จการศึกษา

04

เนื่องจากมนุษย์เป็นทรัพยากรที่สำคัญที่จะส่วนพัฒนาสังคมและประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้า ดังนั้น การศึกษาจึงมีส่วนสำคัญยิ่งที่จะช่วยให้คนในชาติมีความรู้ เพื่อนำไปพัฒนาประเทศต่อไป รัฐจึงต้องลงทุนด้านการศึกษา เพื่อพัฒนาเด็กและเยาวชนของชาติขึ้นมาทดแทนผู้ใหญ่ที่จะอ่อนกำลังลงในอนาคต ประเทศชาติจึงต้องทุ่มเทงบประมาณจำนวนมหาศาลเพื่อพัฒนาการศึกษา สำหรับการจัดการศึกษาของทุกประเทศรวมทั้งประเทศไทยมุ่งเน้นให้คนในสังคมมีความสมบูรณ์ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ สติปัญญา มีความรู้คู่คุณธรรม และดำรงไว้ซึ่งวัฒนธรรมประเพณีของชาติ หน้าที่ของรัฐในการจัดการศึกษารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 กำหนดให้รัฐจะต้องดำเนินการทางด้านการศึกษาให้แก่เด็กและเยาวชน ดังนี้ รัฐต้องจัดการศึกษาขึ้นพื้นฐานไม่น้อยกว่า 12 ปี โดยให้เด็กและเยาวชนในชาติมีสิทธิและโอกาสเสมอกันในการเข้ารับการศึกษาอย่างทั่วถึงและมีคุณภาพ โดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย รัฐต้องจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นพิเศษ สำหรับบุคคลที่มีความบกพร่องทางร่างกาย จิตใจ สติปัญญา อารมณ์ สังคมต้องจัดให้มีการสื่อสารและการเรียนรู้ สำหรับผู้ที่มีร่างกายพิการ ทุพพลภาพ บุคคลที่ไม่สามารถพึ่งพาตนเองได้ บุคคลที่ไม่มีผู้ดูแล หรือด้อยโอกาส

สิทธิและหน้าที่ของบิดามารดาหรือผู้ปกครองบิดามารดาหรือผู้ปกครองมีหน้าที่จัดให้บุตรหรือบุคคลซึ่งอยู่ในความดูแลได้รับการศึกษาภาคบังคับจำนวน 9 ปี โดยให้เด็กที่มีอายุย่างเข้าปีที่เจ็ดเข้าเรียนในสถานศึกษาขึ้นพื้นฐานจนอายุสิบหก เว้นแต่สอบได้ชั้นปีที่เก้าของการศึกษาภาคบังคับ ตลอดจนให้ได้รับการศึกษานอกเหนือจากการศึกษาภาคบังคับ ตลอดจนให้ได้รับการศึกษาภาคบังคับตามความพร้อมของครอบครัวการศึกษาในระบบเป็นการศึกษาที่กำหนดจุดมุ่งหมาย วิธีการศึกษา หลักสูตร ระยะเวลาการศึกษา การวัดและการประเมินผลอันเป็นเงื่อนไขของการสำเร็จการศึกษาที่แน่นอน ได้แก่ การเรียนการสอนในโรงเรียน วิทยาลัยหรือมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ทั้งของรัฐและเอกชน การศึกษานอกระบบ เป็นการศึกษาที่มีความยืดหยุ่นในการกำหนดจุดมุ่งหมาย รูปแบบ วิธีการจัดการศึกษา ระยะเวลาของการศึกษา การวัดและประเมินผลซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญของการสำเร็จการศึกษาโดยเนื้อหาและหลักสูตรจะต้องมีความเหมาะสมกับสภาพปัญหาและความต้องการของบุคคลแต่ละกลุ่ม เช่น การศึกษาผู้ใหญ่ การศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม เป็นต้น การศึกษาตามอัธยาศัย เป็นการศึกษาที่เปิดโอกาศให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยตนเองตามความสนใจ ศักยภาพ ความพร้อมและโอกาส โดยอาศัยจากบุคคล ประสบการณ์ สังคม สภาแวดล้อม สื่อ หรือแหล่งเรียนรู้ เช่น การฝึกอบรมวิชาชีพของสถาบันแรงงานต่าง ๆ การอบรมวิชาชีพในสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน การอบรมภาษาอังกฤษ คอมพิวเตอร์ตามสถาบันต่าง ๆ เป็นต้น

ข้อดีของการศึกษาต่อยังประเทศญี่ปุ่น

ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีความเจริญก้าวหน้า และมีการพัฒนาด้านเศรษฐกิจอยู่เสมอ ทำให้ในมหาวิทยาลัยมีการทำวิจัยที่ล้ำหน้ามากกว่าที่อื่นๆ ทำให้มีเทคโนโลยีหรือทฤษฎีใหม่ๆออกมาอย่างต่อเนื่อง มีการให้การศึกษาระดับสูงที่หลากหลายเพื่อเป็นพื้นฐานของสังคม

การศึกษาต่อในญี่ปุ่นไม่เพียงทำให้ได้ความรู้ที่ล้ำหน้าเฉพาะทางเท่านั้น ขณะเดียวกันการที่ได้เรียนรู้ภาษาญี่ปุ่น และวัฒนธรรมญี่ปุ่นเป็นสิ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ไม่เหมือนใครแต่เมื่อมองดูแล้วทั้งวัฒนธรรมญี่ปุ่นที่มองว่าเป็นสิ่งเฉพาะแล้วหากได้ลองใช้ชีวิตภายในวัฒนธรรมนั้นๆแล้วจะพบว่ามีสาเหตุและที่มาของแต่ละวัฒนธรรมอยู่และน่าจะทำให้เข้าใจพื้นฐานร่วมกันของผู้คนบนโลกได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังมีข้อดีมากมาย ดังนี้

1.ประเทศญี่ปุ่น มีการพัฒนาเทคโนโลยีเป็นอย่างมากรองจากสหรัฐอเมริกา มีสังคมวัฒนธรรมมายาวนาน
2.มีการศึกษาที่ได้มาตรฐาน เป็นที่ 1 ของโลกทางด้านคณิตศาสตร์ และเป็นที่ 2 ของโลกทางด้านวิทยาศาสตร์
3.ประเทศที่มีความปลอดภัยจากอาชญากรรมของโลก โดยสถิติอาชญากรรมในประเทศญี่ปุ่นอยู่ในอันดับท้าย ๆ ของโลก
4.นอกจากได้ภาษาแล้ว ยังจะได้เรียนรู้ทักษะอื่น ๆ ด้วย อาทิเช่น การเรียนหลักสูตรสั้น ๆ
5.มีโอกาสที่จะได้ทำงานต่อในประเทศญี่ปุ่นปัจจุบันสังคมญี่ปุ่นนั้นกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ซึ่ง มีอัตราส่วนของผู้สูงอายุ มากกว่า 20%  จึงเป็นโอกาสที่ทางประเทศญี่ปุ่น จะรับคนเข้าทำงานมากขึ้น
6.มีอาหารและกิจกรรมให้ทำมากมาย เช่น แฟชั่น ที่เที่ยว
7.ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีอัตราการเกิดอาชญากรรมน้อย แม้ว่าจะทำของหล่นหายก็มักจะได้คืนเป็นส่วนใหญ่ จึงทำให้ประเทศญี่ปุ่นมีความปลอดภัยเหมาะแก่การไปเรียนมาก
8.มีมรดกทางด้านวัฒนธรรม เช่น อาหารญี่ปุ่น และภูเขาไฟฟูจิ เพราะว่าญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ล้อมรอบไปด้วยทะเล จึงทำให้เป็นประเทศนี้อุดมสมบูรณ์ไปด้วยธรรมชาติที่สวยงาม

เมื่อศึกษาที่ประเทศญี่ปุ่น สามารถเข้าทำงานในบริษัทญี่ปุ่นสร้างผลงานในบริษัทญี่ปุ่นที่ประเทศของตนเอง หรือได้เข้าทำงานในบริษัทที่มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับญี่ปุ่น ผลจากการทำแบบสอบถามสำรวจพบว่าพวกเขารู้สึกว่าการศึกษาต่อที่ญี่ปุ่นเป็นสมบัติอันล้ำค่า และทำให้ความฝันของคุณเป็นจริงได้

การแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุเมื่อประสบความล้มเหลวในด้านการศึกษา

4

การปฏิรูปการศึกษาของไทยต้องประสบความล้มเหลวในทศวรรษที่ผ่านมาและเริ่มปฏิรูปกันใหม่ในทศวรรษที่ 2 หลายฝ่ายต่างก็ให้ความสำคัญโดยเริ่มตั้งแต่การปรับปรุงหลักสูตร การพัฒนาคุณภาพครูทั้งระบบตามมาตรการไทยเข้มแข็ง ฯลฯ แต่จะมีใครบ้างที่คิดถึงต้นเหตุที่แท้จริงของความล้มเหลวนี้ว่าต้นเหตุที่แท้จริงเกิดจากอะไร การจัดการศึกษาที่ไม่มีความเป็นตัวของตัวเอง แอบอ้างและลอกเลียนแบบชาติอื่นเขามาเมื่อเห็นว่าชาติเขาพัฒนาได้ก็เอาอย่างเขา โดยไม่ได้คำนึงถึงบริบทของตัวเอง  ทั้งด้านสังคม  วัฒนธรรม  ขนบธรรมเนียมประเพณีที่แตกต่างจากชาติต้นแบบโดยสิ้นเชิง  ด้วยเหตุนี้การพัฒนาการศึกษาของไทยจึงล้มเหลวมาตลอด แม้แต่ประเทศเวียดนามที่ต้องประสบภาวะสงครามนับสิบ ๆ ปี เพิ่งจะรวบรวมประเทศได้ไม่ถึง 30 ปี เมื่อเปรียบกับไทยที่มีความเป็นเอกราชมาตลอดนับเฉพาะยุคประชาธิปไตยก็ 70 กว่าปีแล้วการศึกษาของเราน่าจะพัฒนาล้ำหน้าไปกว่าเวียดนามมากมายนัก แต่ความเป็นจริงในปัจจุบันการพัฒนาการศึกษาของเวียดนามกำลังจะทัดเทียมกับเราและอีกไม่นานก็คงจะแซงหน้าเราไปจนได้

การแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุเมื่อประสบความล้มเหลวก็มักจะโยนความผิดให้ผู้อื่นโดยขาดความรับผิดชอบจากผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ทั้งนักการเมือง นักวิชาการ ฯลฯ เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่เป็นเหตุไม่พึงประสงค์ เช่นนักเรียน นักศึกษา มั่วสุมยาเสพติด  มั่วเรื่องเพศ  หรือเหตุรุนแรงยกพวกตีกัน เราก็มักจะโยนความผิดให้ตัวเด็กบ้าง สื่อสารมวลชนบ้าง โดยลืมนักถึงระบบการจัดการศึกษาที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ว่าเหมาะสมกับคนไทย วัฒนธรรมและสังคมไทยหรือยัง นักวิชาการและนักการศึกษาของไทยขาดความคิดริเริ่ม นับตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงหลักสูตรการเรียนระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา เมื่อปี พ.ศ.2521 เป็นต้นมา การศึกษาของไทยมักจะไปอ้างอิงของต่างชาติ โดยไม่มีนักการศึกษาหรือนักวิชาการคนใดที่จะเสนอแนวทางที่เป็นของไทยแท้ ๆ  จนกระทั่งปัจจุบันวัยรุ่นไทยมักจะดูถูกบรรพบุรุษตัวเอง โดยมักจะพยายามทำตัวให้คนอื่นเข้าใจว่าเป็นลูกครึ่ง ตัวอย่างเช่น นายนาทาน ที่เคยเป็นข่าวหรือการพูดโดยพยายามดัดเสียงออกเสียงไม่ชัดเพื่อให้คนเข้าใจว่าไม่ใช่คนไทยแท้ซึ่งเป็นที่นิยมกันมากในหมู่วัยรุ่น

การเข้าร่วมกิจกรรมนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยจัดขึ้น

ช่วงเวลาหนึ่งที่ถือได้ว่า นักศึกษาซึ่งมาจากต่างที่ ต่างสถานศึกษาจะได้รับประสบการณ์ใหม่พร้อมๆกับวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปในทุกด้าน ซึ่งบางเรื่องอาจเป็นสิ่งที่แตกต่างไปจากการเรียนในระดับมัธยมศึกษาอย่างสิ้นเชิง ขณะที่บางเรื่องอาจไม่แตกต่างมากนักแต่เป็นการเรียนรู้ที่มีความเข้มข้นมากขึ้น นักศึกษาที่ปรารถนาความสำเร็จในการใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยนั้น จึงควรทำความเข้าใจกับความเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นและพยายามปรับตัวใหม่ให้เหมาะสม เพราะการเรียนการสอนในรั้วมหาวิทยาลัยนั้นจะมีอิสระกว่าการเรียนในระดับมัธยมศึกษานั่นคือ นักศึกษาจะมีจำนวนชั่วโมงเรียนที่น้อยลง มีตารางเรียนไม่ต่อเนื่องตลอดทั้งวัน นอกจากนี้นักศึกษายังมีอิสระในการเลือกเรียนวิชาต่างๆได้

กิจกรรมนักศึกษาจึงเป็นกระบวนการทางการศึกษาที่มหาวิทยาลัยจัดให้มีขึ้น

เพื่อเปิดโอกาสให้นักศึกษาได้รู้จักสนิทสนม ปรึกษาหารือ ร่วมกันทำกิจกรรมเพื่อช่วยเหลือกันทางด้านวิชาการ อันเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาของนักศึกษา โดยมีอาจารย์ประจำชมรมนักศึกษาคอยแนะนำและให้คำปรึกษาเพื่อให้การดำเนินการจัดกิจกรรมของนักศึกษาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเดินไปในทิศทางที่ถูกต้องเหมาะสม นอกจากกิจกรรมทางด้านวิชาการแล้ว มหาวิทยาลัยยังส่งเสริมและสนับสนุนให้นักศึกษารู้จักคิดและสร้างสรรค์กิจกรรมในแนวทางที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมอีกด้วย

คุณค่าของกิจกรรมนั้นขึ้นอยู่กับประโยชน์ที่ได้รับสำหรับตัวข้าพเจ้านั้นกิจกรรมมีประโยชน์มากมาย ประสบการณ์ในระหว่างการเรียนมหาวิทยาลัย กิจกรรมเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยในการเสริมทักษะความสามารถ เป็นการเปิดโอกาสให้กับตนเองมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในระหว่างสถาบัน เป็นการเปิดโลกทัศน์ของตนเองให้กว้างขึ้น ได้เรียนรู้หลักการ วิธีการหรือกระบวนการในการดำเนินกิจกรรมให้ประสบความสำเร็จและเกิดประโยชน์สูงสุด ฝึกการทำงานในระบบทีม การมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี เนื่องจากว่าในการดำเนินกิจกรรมแต่ละกิจกรรมจำเป็นต้องมีทีมงานในการร่วมดำเนินกิจกรรม

ประโยชน์จากการเข้าร่วมกิจกรรมที่จะได้รับ

1.ได้รู้จักการทำงานเป็นกลุ่ม การทำงานเป็นกลุ่มทำให้เกิดความสามัคคีในหมู่คณะมากขึ้น
2.รู้จักการแบ่งงาน แบ่งหน้าที่ ในด้านที่ตนถนัด
3.ฝึกให้นักศึกษามีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ และต่องานที่ได้รับมอบหมาย
4.มีการปรับตัวเข้าหาผู้อื่นมากขึ้น
5.ได้รับประสบการณ์ในด้านที่ไม่เคยได้รับมาก่อน
6. รู้จักการวางแผนการทำงาน และการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า

การให้ความสำคัญด้านการศึกษาแพทย์แผนไทย

แพทย์แผนไทย จัดเป็นภูมิปัญญาอันล้ำค่าของชาติ

มีทั้งทฤษฎี หลักการ กระบวนการ และวิธีการดูแลสุขภาพด้วยศาสตร์การแพทย์แผนไทย และมียากับผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรอันหลากหลายที่บรรพบุรุษไทยได้ช่วยกันสั่งสมเป็นมรดกของชาติสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน สมควรอย่างยิ่งที่อนุชนรุ่นหลังจะได้ร่วมกันสืบสาน และปรับปรุงพัฒนาให้การแพทย์แผนไทยมีความเจริญก้าวหน้าอย่างยั่งยืน มีมาตรฐานเป็นที่ประจักษ์และยอมรับนับถือในระดับประเทศและนานาชาติ ซึ่งจะเป็นคุณประโยชน์ต่อประเทศชาติทั้งทางด้านเศรษฐกิจและการพึ่งพาตนเอง

การรับรู้นโยบายการพัฒนาการแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้านและการแพทย์ทางเลือกในการเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียนอยู่ในระดับต่ำมาก โดยที่ผู้ตอบแบบสำรวจส่วนใหญ่มีทัศนคติและความคิดเห็นเชิงบวกต่อการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน มองเห็นเป็นโอกาสการพัฒนาคุณภาพการบริการการนวดไทย และแพทย์แผนไทย และมีความเห็นว่าประเทศไทยยังขาดความพร้อมในการเป็นศูนย์กลางด้านยาจากสมุนไพรและผลิตภัณฑ์สมุนไพร จากกระบวนการนโยบายที่ยังไม่ชัดเจนของรัฐบาล

เมื่อองค์การอนามัยโลก(WHO) กำหนดให้ทุกประเทศจะต้องกำหนดนโยบายของชาติให้มีการแพทย์แผนโบราณหรือแพทย์พื้นบ้านกับงานสาธารณสุขมูลฐานประกอบกับการพัฒนาของการแพทย์แผนปัจจุบันหรือการแพทย์แผนตะวันตก เป็นระบบความรู้ที่มีรากฐานวิทยาศาสตร์แบบลดส่วน ศึกษาองค์ประกอบที่เล็ก (ทฤษฎีเชื้อโรค) แบ่งแยกจิตใจออกจากร่างกายเด็ดขาด แต่การแพทย์แผนไทยหรือการแพทย์ทางเลือกอื่นๆจะมองความเจ็บป่วยเป็นองค์รวม มีความใส่ใจรายละเอียดของผู้ป่วยแต่ละรายทั้ง กาย จิตใจ และสังคม ตรงกับการส่งเสริมสุขภาพแนวใหม่ คือ กระบวนการที่ช่วยให้ผู้คนสามารถควบคุม และเพิ่มพูน

ด้านการแพทย์แผนไทย อันได้แก่ ความสามารถในการจัดการป้องกันและรักษาสุขภาพของคนในชุมชน โดยเน้นให้ชุมชนสามารถพึ่งพาตนเองทางด้านสุขภาพและอนามัยได้ เช่น ยาจากสมุนไพรอันมีอยู่หลากหลาย การนวดไทย การดูแลและรักษาสุขภาพแบบพื้นบ้าน เป็นต้น ซึ่งภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย ถือว่าเป็นระบบการแพทย์แบบองค์รวมระหว่าง กาย จิต สังคมและธรรมชาติ ซึ่งจะเห็นว่าการแพทย์แผนไทยไม่ได้มุ่งเน้นเป็นแต่เพียงการบำบัดโรคทางกาย หรือการรักษาเฉพาะส่วนอย่างการแพทย์ตะวันตก แต่เป็นการดูแลสุขภาพของคนทั้งร่างกาย และจิตในระดับปัจเจกบุคคล และยังสอดคล้องกับวิถีชีวิต วัฒนธรรมของชุมชนหรือสังคม และยังเอื้อประสานความสมดุลของระบบนิเวศน์ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

การศึกษานับว่ามีความสำคัญมากต่อการพัฒนาบุคลากรตลอด

4

การศึกษานับว่ามีความสำคัญมากต่อการพัฒนาบุคลากรตลอดจนไปถึงเป็นพื้นฐานของการพัฒนาส่วนอื่น ๆ ด้วย เพราะไม่ว่าจะทำการพัฒนาส่วนใดต้องเริ่มมาจากการพัฒนาคนเสียก่อน ดังนั้นการพัฒนาคนสามารถทำได้หลาย ๆ รูปแบบ อย่างที่สำคัญที่สุดของการพัฒนาคนคือการให้การศึกษา ดังนั้นการพัฒนาประเทศต้องพัฒนาควบคู่ไปกับการพัฒนาคนโดยต้องคำนึงถึงการศึกษาเป็นสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคของเทคโนโลยีสารสนเทศที่ก้าวล้ำนำโลกไปมาก การศึกษาก็ต้องพัฒนาไปให้ทันกับโลก

สำหรับการศึกษาในประเทศไทย หากดูจากสภาพที่เกิดขึ้นในสังคมหลาย ๆ ฝ่ายกำลังเข้าใจเป็นไปในแนวทางเดียวกันคือการศึกษาของไทยกำลังมีปัญหา จะเห็นได้ว่าเป็นปัญหาที่ได้รับความสนใจจากสังคม ซึ่งมีการทำวิจัยออกมาหลาย ๆ ครั้งที่สะท้อนถึงความล้มเหลวของการศึกษาในบ้านเรา ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับเด็กและเยาวชนไทยเปรียบเสมือนสายพานความป่วยไข้ทางสังคมที่สะท้อนถึงปรากฏการณ์ความอ่อนแอของทุกภาคส่วน ทั้งสถาบันครอบครัวอ่อนแอ พื้นที่อบายมุขขาดการควบคุม อันเป็นปฐมเหตุของปัญหาพฤติกรรมเด็กและเยาวชน ไม่ว่าเป็นปัญหาติดห้าง เที่ยวกลางคืน กินเหล้า สูบบุหรี่ และมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร อันจะนำไปสู่ผลกระทบกับปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นตามมาอย่างมากมาย

เคยมีการสัมมนาเรื่อง “แนวทางการแก้ไขปัญหาพฤติกรรมและค่านิยมทางสังคมที่ไม่เหมาะสมของนักเรียน นิสิต นักศึกษาในปัจจุบัน” ซึ่งจัดโดยคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การศึกษา สภาผู้แทนราษฎร ซึ่ง รศ.ดร.โภคิน พลกุล ประธานรัฐสภา กล่าวว่า ปัญหาพฤติกรรมและค่านิยมทางสังคมที่ผิดของวัยรุ่นไทยในปัจจุบันมีความรุนแรงจนกลายเป็นวิกฤติทางสังคม ซึ่งปัญหาอันดับหนึ่งคือ ยาเสพติด รองลงมาคือการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควรโดยเฉลี่ยจะมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกอายุ 16 ปี เป็นที่มาของการทำแท้ง การทอดทิ้งเด็ก เด็กถูกทำร้าย การติดเชื้อเอดส์ และการขายบริการทางเพศ นอกจากนี้ยังมีปัญหาอุบัติเหตุจากความมึนเมา คึกคะนอง ท้าทายกฎระเบียบ ส่วนปัญหาที่กำลังมีแนวโน้มขยายตัวและรุนแรงในวัยรุ่นคือ การทำร้ายผู้อื่นและทำร้ายตนเอง โดยการคิดฆ่าตัวตาย ซึ่งปัญหาส่วนใหญ่มาจากความอ่อนแอของสถาบันครอบครัว สถาบันการศึกษา สถาบันศาสนาและชุมชน รวมถึงสื่อโดยเฉพาะโทรทัศน์และเทคโนโลยีสารสนเทศ ดังนั้นจึงจำเป็นที่ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันและรีบแก้ไขปัญหาวัยรุ่น

การลงทุนยุคใหม่มีความสลับซับซ้อนแตกต่างไปจากเดิมและมีความเสี่ยงจากการลงทุนมากน้อยแตกต่างกัน

ในโลกการลงทุนยุคใหม่ที่มีสินค้าหลากหลาย ซึ่งมีความสลับซับซ้อนแตกต่างไปจากเดิมและมีความเสี่ยงจากการลงทุนมากน้อยแตกต่างกัน ตัวช่วยหนึ่งที่จะทำให้ผูู้ลงทุนรู้ระดับความเสี่ยงที่ตนเองยอมรับได้ และสามารถเลือกลงทุนได้อย่างสบายใจ นั่นคือการทำแบบประเมินความเหมาะสมในการลงทุน ซึ่งการทำแบบประเมินนี้ นอกจากจะทำให้ผู้ลงทุนรู้ระดับความเสี่ยงของตนเองแล้ว ยังช่วยให้ บลจ. หรือเจ้าหน้าที่การตลาดผู้ดูแลบัญชีรู้จักผู้ลงทุนดีขึ้น เพื่อจะได้ให้บริการและคำแนะนำในการลงทุนการลงทุนที่จะให้ผลสำเร็จ นอกจากจะมีการวางแผนที่ดีแล้ว ก็ควรหมั่นทบทวนและปรับปรุงแผนการลงทุนให้สอดคล้องกับสภาวการณ์ปัจจุบันอย่างสม่ำเสมอด้วยเช่น อย่างน้อยทุก 6 เดือน หรือทุก 12 เดือน หรือทุกครั้งที่มีเหตุการณ์สำคัญ ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อตลาดทุน เช่น วิกฤติการณ์ตลาดหุ้นผันผวน ภาวะอัตราดอกเบี้ยในท้องตลาดมีแนวโน้มลดลง เป็นต้น เพราะเหตุการณ์เหล่านี้อาจส่งผลกระทบต่อผลตอบแทนในพอร์ตการลงทุนของเราได้ ทำให้เราต้องปรับสัดส่วนการลงทุน โดยเพิ่มการลงทุนในหลักทรัพย์/ทรัพย์สินที่ได้รับ

ผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าวน้อยที่สุดสรุปหลักง่าย ๆ ในการพิจารณาปรับปรุงพอร์ต คือ ดูการเปลี่ยนแปลงของตัวเราเอง เช่น หน้าที่การงานเปลี่ยน ได้เลื่อนขั้น ขึ้นเงินเดือน เป็นต้น ส่งผลให้เรามีรายได้เป็นกอบเป็นกำมากขึ้น เราก็อาจเพิ่มสัดส่วนการลงทุนไปในสินค้าทางการเงินที่มีโอกาสให้ผลตอบแทนเพิ่มมากขึ้น หรือลงทุนในระยะยาวที่สม่ำเสมอได้มากขึ้น หรืออีกกรณีหนึ่ง เราได้มีการศึกษาข้อมูลเกี่ยวการลงทุนในสินค้าทางการเงินที่มีความเสี่ยงมากขึ้น มีความรู้หรือมีประสบการณ์ในการลงทุนมากขึ้นจนมีความมั่นใจ ก็อาจเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในสินค้าที่เสี่ยงสูงได้เพิ่มขึ้นโดยปกติแล้ว ผู้ลงทุนที่มีเป้าหมายการลงทุนที่ใช้ระยะเวลาในการลงทุนค่อนข้างยาวอาจสบายใจกว่าหากจะนำเงินนั้นไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง เพราะแม้จะเจอสภาวะเศรษฐกิจขึ้น ๆ ลง ๆ หรือตลาดการลงทุนผันผวนบ้าง ซึ่งอาจทำให้ผลการลงทุนอาจมีขาดทุนไปบ้างในบางช่วงเวลา ก็ไม่น่าเป็นห่วงอะไรเพราะลงทุนระยะยาวอยู่แล้ว แต่ถ้าเป็นเป้าหมายการลงทุนที่ใช้เวลาในการลงทุนระยะสั้น เช่น ต้องเก็บเงินเพื่อเรียนต่อ หรือซื้อรถ ไม่ควรนำเงินไปลงทุนแบบเสี่ยงมากจนเกินไปเพราะหากเกิดเจอช่วงผันผวนแล้ว ขาดทุนก็จะทำให้แผนการเรียนต่อได้รับผลกระทบได้

การศึกษาต่อยังต่างประเทศ ช่วยสร้างประสบการณ์ที่แปลกใหม่

สำหรับผู้ที่มีโอกาสได้ศึกษาต่อยังต่างประเทศอาจเป็นเหมือนความฝันที่กลายเป็นจริง แต่ในขณะเดียวกัน การอยู่ในเองที่ไม่ใช่บ้านของตนเองท่ามกลางวัฒนธรรมที่ไม่คุ้นเคย อาจทำให้นักเรียนหลายๆคนตัดสินใจเดินทางกลับ ในการศึกษาต่อยังต่างประเทศมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน

ในการเรียนต่อต่างประเทศมีข้อดีในการทำให้นักเรียนสามารถอยู่ด้วยตนเองได้ เนื่องจากในต่างประเทศเมื่อไปใช้ชีวิตคนเดียวแล้วต้องลงมือทำหลายๆอย่างด้วยตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน การบริหารด้านการเงิน ทำความสะอาด ทำอาหาร นอกจากนี้ทางด้านตัวผู้เรียนต้องมีความรับผิดชอบในหน้าที่ของตนเองมากขึ้น เพราะนักเรียนหลายคนเมื่อศึกษายังต่างประเทศคิดว่าตนเองมีอิสระไม่มีผู้ปกครองคอยตักเตือน จนลืมไปว่าการเดินทางมาครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อต้องการศึกษาต่อ

การใช้ชีวิตด้วยตัวเองตามลำพังทำให้ช่วยฝึกด้านความแข็งแกร่งและมีทักษาในการแก้ไขปัญหา อันจะเป็นประโยชน์ในด้านการดำรงชีวิตในอนาคต การเรียนต่อในต่างประเทศเป็นโอกาสที่ดีในการสร้างสังคมใหม่ๆ ช่วยแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมที่หลากหลายมุมมองที่แตกต่างกัน อีกทั้งยังช่วยด้านภาษาในการสื่อสารที่เป็นสิ่งสำคัญในการทำงานในอนาคต

การสมัครงานแต่ละครั้งเมื่อเราเล่าถึงประสบการณ์ในการศึกษาต่อต่างประเทศทำให้ใบสมัครของเราดูน่าสนใจขึ้นมาก เพราะนอกจากทำให้ดูมีศักยภาพแล้ว การศึกษายังต่างประเทศยังทำให้บริษัทเห็นว่าคุณเป็นคนมีความรับผิดชอบ สามารถพึ่งพาตนเองได้และมีเหตุผลในการแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง
การเรียนต่อต่างยังต่างประเทศยังมีข้อดีคือ มีวิชาที่หลากหลายให้ผู้ที่สนใจ เนื่องจากในประเทศไทยเองยังไม่มีวิชาที่รองรับความต้องการมากนัก ทำให้นักเรียนจำนวนมากสนใจเรียนต่อยังต่างประเทศ หลักสูตรในประเทศต่างๆทำให้เรียนรู้วิชาที่แต่ละประเทศได้ให้ความสำคัญในมุมมองและบริบทที่แตกต่างกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่เปิดกว้างด้านการศึกษา และยังเป็นสิ่งที่ทำให้มีโอกาสทางอาชีพมากขึ้น

อย่างไรก็ตามทางด้านผู้เรียนเองต้องมีความอดทน เพราะการอยู่ต่างประเทศก็คือการอยู่ห่างไกลครอบครัว ซึ่งเป็นความท้าทายสำหรับใครหลายคน นอกจากนี้ในต่างประเทศมีเรื่องราวมากมายที่ไม่สามารถคาดเดาได้ ทางด้านผู้เรียนเองจึงต้องผ่านความท้ายทายเหล่านี้ไปให้ได้

การบริการทางด้านการศึกษาไทยเตรียมพร้อมอย่างไรกับความเปลี่ยนแปลง

ขณะที่ไทยกำลังนับถอยหลังเข้าสู่การเป็น “ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน” คำถามที่ทุกฝ่ายต่างสงสัย คือ เรา “พร้อม” แค่ไหนสำหรับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้ “ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน” (AEC) เป็นหนึ่งใน 3 เสาหลักของประชาคมอาเซียน (ASEAN) อันประกอบไปด้วย “ประชาคมการเมืองความมั่นคงอาเซียน” “ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน” และ “ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน” จัดตั้งขึ้นเพื่อส่งเสริมให้อาเซียนเป็นตลาดและฐานการผลิตเดียว โดยมีการเคลื่อนย้ายเงินทุน สินค้า บริการ การลงทุน แรงงานฝีมือระหว่างประเทศสมาชิกได้อย่างเสรี

แน่นอนว่า การเตรียมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเป็นประเด็นเร่งด่วนที่สุด ณ วินาทีนี้ แต่อย่างไรก็ดี ปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญมากอีกประการซึ่งพวกเรายังคงต้องตั้งคำถามถึงก็คือเรื่องของ “การศึกษา

คน-การศึกษา หัวใจของเสาหลักทั้งสาม
มนุษย์ คือ ทรัพยากรที่มีค่าที่สุดของทุกเสาหลัก ทั้งเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม โดยมี “การศึกษา” เป็นพื้นฐานของการพัฒนาคุณภาพมนุษย์ ทั้งนี้ ตัวแปรหลักในกระบวนการการศึกษาที่ประเทศไทยต้องกลับมาทบทวนและให้ความสำคัญมากขึ้น ก็คือ การพัฒนา “ครู” และ “หลักสูตร” รวมทั้งการเสริมสร้างทัศนคติที่ดีต่อประเทศเพื่อนบ้าน ตลอดจนความสามารถในการสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษของประชาชนคนไทย

“นักการศึกษาต้องทบทวนหลักสูตรโดยเล็งเห็นถึงความต้องการของประเทศในอีก 10 ปีข้างหน้า ที่ผ่านมาเราเน้นแต่การสอน นับจากนี้เราต้องสอนให้น้อยลง แต่ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้มากขึ้น คนไทยมีทัศนคติว่า “เราไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของใคร” “ภาษาอังกฤษไม่ใช่ภาษาพ่อภาษาแม่” เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านแล้ว ผู้นำเราไม่เน้นความสำคัญของการใช้ภาษาอังกฤษเลย ในทางตรงกันข้าม ประเทศเพื่อนบ้านอย่างสิงคโปร์ เขามีอดีตผู้นำอย่างนาย ลี กวน ยู ที่มีวิสัยทัศน์ว่า ภาษาอังกฤษและภาษาจีนจะมีความสำคัญมาก ดังนั้น เขาจึงให้ข้าราชการเรียนภาษาอังกฤษและภาษาจีน มีการพิมพ์หนังสือและขายเทปเรียนภาษาราคาถูก สิงคโปร์ตั้งเป้ากันยาวเป็น 20-30 ปี ซึ่งในที่สุดเขาก็ทำได้สำเร็จ”

“ดังนั้น ไม่ว่าคนไทยจะเรียนทันหรือไม่ คำตอบคือ “ต้องทัน” และไม่ใช่เฉพาะภาษาอังกฤษเท่านั้น ภาษาเพื่อนบ้านอย่างภาษาเวียดนาม ลาว พม่า มาเลเซีย เราก็ควรต้องเรียนกันอย่างจริงจัง นอกจากนั้น อาเซียนต้องมีการแลกเปลี่ยนผู้ทรงคุณวุฒิกันภายในภูมิภาค จากเดิมที่มีแต่ผู้เชี่ยวชาญจากอเมริกา เยอรมัน ญี่ปุ่น พอถึงยุค AEC เราต้องแลกเปลี่ยนกันเองภายในภูมิภาคเพื่อเพิ่มความรู้ความเข้าใจระหว่างกันด้วย”

“ต้องยอมรับว่า ประชาชนไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตชนบทยังอ่อนแอในการร่วมขบวนและการปรับตัวสู่ AEC ดังนั้น เราต้องพัฒนาโอกาสทางการศึกษาให้เท่าเทียมกัน เพราะมิฉะนั้นจะเกิดช่องว่างทางการศึกษา และกลายเป็นช่องว่างทางเศรษฐกิจไปในที่สุด”\

ศูนย์กลางการบริการหอพักนักศึกษาที่มีคุณภาพ

การบริการที่พักอาศัยสำหรับนักศึกษาของมหาวิทยาลัย

เพื่อให้สถานที่แห่งนี้มีความเป็นบ้านแก่ผู้พักอาศัย คือให้มีความปลอดภัย สะดวกสบาย โดยมีกิจกรรมส่งเสริมให้ผู้อยู่อาศัยมีโอกาสได้เรียนรู้ซึ่งกันและกัน อยู่ร่วมกันอย่างสันติและให้เกียรติซึ่งกันและกัน หอพักนักศึกษาจัดสร้างขึ้นเพื่อส่งเสริมการเรียนการสอน และเพื่อพัฒนานักศึกษาในด้านต่างๆ ได้แก่ การใช้ชีวิต ความเป็นอยู่ร่วมกันอย่างมีระเบียบวินัย แลกเปลี่ยนความรู้ความคิดเห็นซึ่งกันและกัน เข้าใจและเกิดความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ตลอดจนความรับผิดชอบต่อตนเองและส่วนรวม มหาวิทยาลัยจะจัดสรรที่พักให้แก่นักศึกษาที่มีปัญหาเศรษฐกิจ นักศึกษาที่มีร่างกายทุพลภาพและ/หรือมีโรคประจำตัวที่แพทย์รับรองว่าเป็นอุปสรรคในการเดินทาง

สถาบันการศึกษาได้ให้ความสำคัญเกี่ยวกับหอพักนักศึกษาเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากได้พิจารณาเห็นว่าหอพักนักศึกษาเป็นสถานที่ที่นักศึกษา ได้ใช้ชีวิตอยู่ในมหาวิทยาลัยมากกว่าสถานที่แห่งอื่นใดนอกจากมหาวิทยาลัยจะให้บริการหอพักนักศึกษาเป็นสถานที่พักนักศึกษา ยังมุ่งเน้นให้หอพักนักศึกษาเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้และเป็นสถานที่พัฒนาคุณภาพนักศึกษาในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นแหล่งรวมพลังความสมัครสมานสามัคคี ทั้งนี้เพื่อให้นักศึกษามีความพร้อมทางด้านร่างกาย จิตใจ สำเร็จการศึกษาออกไปเป็นบัณฑิตที่มีคุณภาพมีความรับผิดชอบต่อตนเอง สังคม และประเทศชาติต่อไป

นักศึกษาสามารถจองห้องพักในระยะเวลาที่มหาวิทยาลัยกำหนด

โดยระบุความประสงค์ ชื่อบ้านที่จะเข้าพักอาศัย การประกาศรายชื่อผู้เข้าอาศัยจะเป็นไปตามวันและเวลาที่มหาวิทยาลัยกำหนด โดยหอพักนักศึกษาได้จัดเตรียมสิ่งอำนวยความสะดวกภายในห้องพัก อาทิ เตียงนอน ที่นอน ตู้เสื้อผ้า โต๊ะทำงาน ชั้นวางของ ราวตากผ้า และ Internet ตามแบบประเภทห้องพัก โดยนักเรียน-นักศึกษาที่เข้าพักเพียงนำหมอน ผ้าห่ม พัดลม และเครื่องใช้ที่จำเป็นในการพักอาศัยมาเท่านั้น ภายในตัวอาคารหอพักนักศึกษาจะมีระเบียงด้านหน้าห้องพัก และมีแม่บ้านดูแลทำความสะอาดพื้นที่ส่วนกลาง เพื่อความสะอาดและเป็นระเบียบเรียบร้อยอย่างสม่ำเสมอ

หอพักนักศึกษาจะมีอาจารย์ที่ปรึกษาหอพักให้การดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของนักศึกษา คอยแนะนำตักเตือนนักศึกษาให้ปฏิบัติตามระเบียบ ข้อบังคับ และประกาศของหอพักนักศึกษา ให้คำปรึกษาและแนะนำเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาต่างๆของนักศึกษา พิจารณาและให้คำแนะนำในการจัดโครงการหรือกิจกรรมเพื่อพัฒนาศักยภาพนักศึกษาหอพัก ซึ่งนักศึกษาสามารถเลือกที่จะเข้าร่วมโครงการหรือกิจกรรมตามความสนใจของตนเอง ตามปฏิทินการพัฒนานักศึกษาหอพักตลอดปีการศึกษา  รวมถึงให้การช่วยเหลือและดูแลนักศึกษาที่เจ็บป่วยเบื้องต้น และนำส่งสถานพยาบาลเมื่อมีเหตุอันควร

ระบบบริการการศึกษาผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต

เนื่องจากปัจจุบันมีการเจริญเติบโตค่อนข้างมากทำให้มีเทคโนโลยีเข้ามาเป็นบทบาทในการติดต่อสื่อสารและใช้ในการทำงานต่างๆที่สามารถทำได้สะดวกและรวดเร็วขึ้นในด้านการศึกษาก็เช่นเดียวกันที่ได้นำเอาเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้คือ ระบบบริการการศึกษาผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ซึ่งสามารถแบ่งออกได้ดังนี้ ระบบสำหรับนิสิต เจ้าหน้าที่ อาจารย์ และผู้บริหาร สำหรับระบบบริการการศึกษาผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ตสำหรับนิสิต คือ ระบบที่นิสิตสามารถค้นหาข้อมูลต่างๆ ลงทะเบียนเรียน และตรวจสอบข้อมูลของตนเองทั้งข้อมูลส่วนตัว ข้อมูลเกรด โดยสามารถใช้ระบบบริการการศึกษาได้จากทุกจุดที่สามารถเชื่อมโยงเข้ากับเครือข่ายของมหาวิทยาลัย หรือเครือข่ายอินเตอร์เน็ต

นอกจากนี้ยังสามารถดำเนินกิจกรรมต่างๆที่เป็นส่วนบุคคล การตรวจสอบประวัติ การดูผลการศึกษา สามารถค้นหาข้อมูลโดยละเอียดของแต่ละรายวิชาได้ในข้อมูลจะประกอบไปด้วย รหัสวิชาชื่อวิชาภาษาไทย จำนวนหน่วยกิต จำนวนกลุ่มเรียนที่เปิดสอน วันเวลาเรียน ห้องเรียน จำนวนเปิดรับลงทะเบียน จำนวนนิสิตที่ได้ลงทะเบียนไปแล้ว จำนวนที่นั่งเหลือที่สามารถรับลงทะเบียนได้

การนำระบบอินเตอร์เน็ตเข้ามามีส่วนช่วยในการสอนมีประโยชน์ดังต่อไปนี้
1. เพื่อการสอนแบบตัวต่อตัว
2. เพื่อฝึกทักษะต่าง ๆ ในการเรียน
3. เพื่อการสาธิต
4. เพื่อการเล่นเกมและสถานการณ์จำลอง
5. เพื่อสอนงานด้านการเขียน
6. เพื่อการเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการเรียนการสอน
7. เพื่อช่วยผู้เรียนที่มีปัญหาเฉพาะตัว

จะเห็นว่าระบบอินเตอร์เน็ตมีประโยชน์เพราะช่วยในการค้นหาข้อมูลต่างๆ ได้ สะดวกรวดเร็วเพราะปัจจุบัน มี เว็บไซต์ต่างๆเกิดขึ้นมากมายแต่ละเว็บไซต์ก็ให้ข้อมูลข่าวสารในเรื่องต่างๆ รูปแบบระบบห้องสมุดก็มีแนวโน้มในการเปลี่ยนรูปแบบการจัดเก็บและการเผยแพร่หนังสือในเรื่องต่างๆมาเก็บไว้ในฐานข้อมูลและสามารถค้นหาได้ด้วยระบบอินเตอร์เน็ตให้อ่านและค้นคว้าแบบ online ทั้งนี้การใช้อีเมล์ก็เช่นเดียวกัน โดยใช้อีเมล์ช่วยให้การติดต่อข่าวสารระหว่างกันได้อย่างรวดเร็ว ไม่ล่าช้าเหมือนเมื่อก่อน ยังช่วยให้การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างกันได้ทั่วโลกอีกด้วย ในการเรียนแบบ online ยังช่วยให้นักเรียนสามารถเรียนได้ตามความสามารถของตนเอง ใครมีความสามารถมากก็เรียนได้เร็วกว่า นักเรียนที่ไม่กล้าแสดงความคิดเห็นในห้องก็สามารถแสดงความคิดเห็นได้มากขึ้นโดยการ ส่งอีเมล์เพื่อสอบถามได้

งานบริการแนะแนวด้านการศึกษาสำหรับนักศึกษา

สำหรับบริการแนะแนวการศึกษาเป็นบริการสำคัญที่มหาวิทยาลัยจัดขึ้นเพื่อช่วยให้นักศึกษาสามารถศึกษาด้วยตนเองอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการให้คำปรึกษาและแนะแนวด้านวิธีการศึกษาด้วยตนเอง การจัดเวลาเรียน การเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนการปรับตัวให้เข้ากับระบบการศึกษา การแนะแนวอาชีพ และการศึกษาต่อในระดับสูงตลอดจนปัญหาทางด้านส่วนตัว อารมณ์ สังคม เป็นงานบริการที่มุ่งให้ความช่วยเหลือนักศึกษาในด้านการพัฒนาตนเองโดยนำเอาความสามารถที่ตนเองมีอยู่มาใช้ในการพิจารณาอย่างมีเหตุผล สามารถแก้ไขปัญหาได้ด้วยตนเองได้ ซึ่งการบริการแนะแนวจะประกอบไปด้วย
1.การติดตามผลจากระเบียนการเรียน
2.การให้คำปรึกษาแบบรายบุคคลและรายกลุ่ม
3.การใช้แบบสอบถามปัญหาเกี่ยวกับการด้วยการสอบถามนักศึกษาสอบถามอาจารย์ที่ปรึกษา
4.การใช้แบบทดสอบความสมารถทางการเรียน
5.การจัดระบบอาจารย์ที่ปรึกษาหรือชั่วโมงโฮมรูมเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นทางการศึกษา
นอกจากนี้ในสถาบันการศึกษาและมหาวิทยาลัยยังมีบริการจัดหางานสำหรับนักศึกษาและ แนะแนวการเตรียมตัวโดยจัดอบรมความรู้เกี่ยวกับการสมัครงาน การสัมภาษณ์งาน ช่วยจัดหางานชั่วคราวสำหรับนักศึกษาที่ต้องการทำงานช่วงเวลาว่างระหว่างศึกษา และที่สำคัญจัดส่งนักศึกษาเข้าฝึกงานในองค์กรต่างๆ แนะแนวการศึกษาต่อในประเทศและต่างประเทศ โดยจัดไว้ในห้องสมุดได้รวบรวมข้อมูลในเรื่องต่างๆ เช่น ข้อมูลที่เกี่ยวกับอาชีพ ตำแหน่งงานว่าง ความต้องการของตลาด
โดยบริการแนะแนวจะตระหนักถึงความสำคัญในการดูแลเอาใจใส่นักศึกษาที่อยู่ในช่วงวัยของการเปลี่ยนแปลงจากวัยเด็กสู่วัยผู้ใหญ่ ที่อาจเกิดความสับสนในการตัดสินใจ บุคลิกภาพ การปรับตัวกับสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ การปรับตัวจากบ้านและครอบครัวสู่การใช้ชีวิตลำพังในหอพัก การปรับตัวในการคบเพื่อนใหม่ เพศเดียวกันและต่างเพศ ตลอดจนความวิตกกังวลในการหางานทำก่อนจบการศึกษาซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเป็นอุปสรรคต่อการเรียนในมหาวิทยาลัยได้
ดังนั้นมหาวิทยาลัยจึงมีบริการแนะแนวให้คำปรึกษาเพื่อให้ความช่วยเหลือและแนะแนวทางในการลดความวิตกกังวลและสามารถเข้าใจปัญหาและหาทางออกได้อย่างเหมาะสมการให้บริการทางการศึกษาจึงเป็นสิ่งที่หน่วยงานทางการศึกษาไม่ควรมองข้าม

การให้บริการการศึกษาเพื่ออนาคตที่สดใสของเด็กไทย

learnhard

หลักสูตรใหม่เกิดขึ้นจำนวนมาก จากการเปลี่ยนแปลงและการแข่งขันในด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม ทำให้คนในสังคมต้องการเพิ่มความรู้ความสามารถให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง จึงหันมาสนใจศึกษาต่อในหลักสูตรที่ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจ ดังนั้น เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของคนในสังคมสถาบันการศึกษาจึงมุ่งพัฒนาหลักสูตรใหม่ ๆ อาทิ หลักสูตรที่บูรณาการระหว่างสองศาสตร์ขึ้นไป เช่น ระดับอาชีวศึกษาหลักสูตรเดียวจะมีหลายสาขาวิชา เรียนช่างยนต์จะผนวกการตลาดและการบัญชีเข้าไปด้วย เป็นต้น หลักสูตรที่ให้ปริญญาบัตร 2 ใบ และมีการพัฒนาหลักสูตรให้ทันสมัยตลอดเวลา

การจัดการศึกษามีความเป็นสากลมากขึ้น สภาพโลกาภิวัตน์ที่มีการเชื่อมโยงในทุกด้านร่วมกันทั่วโลก ส่งผลให้เกิดการเคลื่อนย้ายองค์ความรู้ กฎกติกา การดำเนินการด้านต่าง ๆ ทั้งการค้า การลงทุน การศึกษา เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม เชื่อมต่อถึงกัน ประกอบการเปิดเสรีทางการศึกษา ส่งผลให้เกิดการหลั่งไหลหลักสูตรการเรียนการสอน บุคลากรด้านการสอน หลักสูตร จากสถาบันการศึกษาต่างประเทศเข้าสู่ไทย อันมีผลทำให้เกิดการเปรียบเทียบและผลักดันให้สถาบันการศึกษาไทยต้องพัฒนาการจัดการศึกษาที่มีความเป็นสากลที่เป็นที่ยอมรับ อีกทั้งการเปิดเสรีทางการค้าและการลงทุนกับนานาประเทศของไทย ได้ส่งผลให้เกิดความต้องการการศึกษาที่มีคุณภาพทัดเทียมในระดับสากล

ความเหลื่อมล้ำด้านโอกาสทางการศึกษาลดลง เนื่องจากสภาพการเรียกร้องสิทธิมนุษยชนที่เป็นกระแสระดับโลกเกิดขึ้นควบคู่กับคลื่นประชาธิปไตยแผ่ขยายวงกว้างถึงไทย รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ส่งเสริมการเพิ่มสิทธิเสรีภาพแก่ประชาชน อีกทั้งสภาพการใช้เทคโนโลยีส่งเสริมการเรียนการสอน ทำให้ช่องทางการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารเข้าถึงคนได้อย่างกว้างขวาง อย่างไรก็ตาม อาจเป็นได้ว่าความเหลื่อมล้ำด้านโอกาสทางการศึกษาจะลดลงในกลุ่มสถาบันการศึกษาของรัฐ ส่วนการจัดการศึกษาโดยสถาบันการศึกษาเอกชน ผู้เรียนที่ครอบครัวมีรายได้น้อยอาจเข้ารับบริการทางการศึกษาได้ลดลง เนื่องจากค่าเล่าเรียนแพง

โอกาสรับบริการทางการศึกษาที่มีคุณภาพเพิ่มขึ้น เมื่อเปิดเสรีทางการศึกษา จะก่อเกิดการแข่งขันในการจัดการศึกษาทั้งจากสถาบันการศึกษาทั้งในและต่างประเทศมากขึ้น หากพิจารณาในแง่บวก การเปิดเสรีทางการศึกษา เป็นการสร้างโอกาสให้คนไทยได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพ เนื่องด้วยสถาบันแต่ละแห่งจะแข่งด้านคุณภาพมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาบันอุดมศึกษา คุณภาพการศึกษาจะเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก เนื่องจากการเปิดเสรีทางการศึกษา ที่เปิดโอกาสให้สถาบันอุดมศึกษาต่างชาติเข้ามาเปิดการเรียนการสอน จึงเป็นแรงกดดันให้สถาบันอุดมศึกษาไทยต้องพัฒนาคุณภาพการศึกษาให้สูงขึ้น